สิวฮอร์โมนเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงหลายคน โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หลายคนอาจเคยได้ยินว่า “ยาคุมลดสิว” เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษา แต่จะปลอดภัยและเหมาะกับเราหรือไม่? วันนี้ Dr. NAT Clinic จะมาไขข้อสงสัยและแนะนำวิธีเลือกยาคุมที่เหมาะสมกับคุณ
ยาคุมลดสิว คืออะไร
ยาคุมลดสิวคือยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว โดยทั่วไปจะประกอบด้วยฮอร์โมนสองชนิด คือ เอสโตรเจนและโปรเจสติน ที่ทำงานร่วมกันในการปรับสมดุลฮอร์โมนและลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้า
สิวและฮอร์โมน มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) มากเกินไป จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตัน เกิดการสะสมของแบคทีเรียและนำไปสู่การอักเสบจนกลายเป็นสิว โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือนที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงมาก
ชนิดของยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักตามชนิดของฮอร์โมนที่เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ชนิดฮอร์โมนรวมที่มีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสติน และชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่มีเฉพาะโปรเจสติน โดยชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือแบบฮอร์โมนรวม ส่วนแบบฮอร์โมนเดี่ยวมักถูกเลือกใช้ในกรณีพิเศษ เช่น ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน หญิงที่อยู่ในระยะให้นมบุตร หรือกรณีต้องการใช้เป็นยาคุมฉุกเฉิน
สำหรับยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมนั้น มีรูปแบบการบรรจุที่แตกต่างกันสองแบบหลัก คือแบบ 21 เม็ดและ 28 เม็ด
- แบบ 21 เม็ด จะประกอบด้วยเม็ดยาที่มีฮอร์โมนทั้งหมด โดยผู้ใช้จะต้องรับประทานวันละหนึ่งเม็ดจนหมดแผง จากนั้นหยุดพัก 4-7 วันซึ่งจะมีประจำเดือนมาในช่วงนี้ แล้วจึงเริ่มแผงใหม่ในวันที่ 5 ของรอบเดือน
- แบบ 28 เม็ด จะมีเม็ดยา 28 เม็ด แต่จะแบ่งเป็นเม็ดยาที่มีฮอร์โมน 21 เม็ด และเม็ดแป้งที่ไม่มีฮอร์โมนอีก 7 เม็ด (บางยี่ห้อที่มีสัดส่วนต่างออกไป เช่น ฮอร์โมน 24 ต่อแป้ง 4) โดยเม็ดแป้งจะมีลักษณะที่แตกต่างจากเม็ดยาให้เห็นชัดเจน ผู้ใช้จะรับประทานต่อเนื่องทุกวันและเริ่มแผงใหม่ทันทีเมื่อหมดแผง โดยประจำเดือนจะมาในช่วงที่รับประทานเม็ดแป้งไปได้ 1-3 วัน
ตัวยาในยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมประกอบด้วยฮอร์โมนสองกลุ่มหลัก
- กลุ่มแรกคือเอสโตรเจน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ ethinyl estradiol เป็นตัวยาหลัก แม้จะมีตัวเลือกอื่นเช่น mestranol หรือ estradiol ด้วยก็ตาม ในอดีตมีการใช้ปริมาณ ethinyl estradiol สูงถึง 50 ไมโครกรัม ซึ่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงมาก แต่ปัจจุบันได้ลดปริมาณลงเหลือไม่เกิน 35 ไมโครกรัม บางตำรับอาจมีเพียง 15-20 ไมโครกรัม การลดขนาดยาลงช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ได้มาก โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้ ท้องอืด และเจ็บคัดเต้านม แม้อาจพบเลือดออกกะปริดกะปรอยได้บ้าง
- กลุ่มที่สองคือโปรเจสติน มีตัวยาหลายชนิด เช่น levonorgestrel, norethisterone, gestodene และ drospirenone ซึ่งล้วนให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดใกล้เคียงกัน นอกจากการคุมกำเนิดแล้ว ยาคุมยังมีประโยชน์ในการรักษาความผิดปกติต่าง ๆ เช่น
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- ประจำเดือนมามาก
- อาการปวดประจำเดือน
- ภาวะถุงน้ำในรังไข่
- ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้
ยาคุมลดสิว ทำงานอย่างไร
ยาคุมลดสิวทำงานโดยการควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะการลดการผลิตฮอร์โมนเพศชายที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้วงจรประจำเดือนสม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลดีต่อสภาพผิวโดยรวม
หลักการเลือกยาคุมลดสิว

การเลือกยาคุมลดสิวควรพิจารณาตามสภาพร่างกายและความต้องการของผู้ใช้ ดังนี้
- ผู้ที่มีประจำเดือนมามากหรือมีอาการข้างเคียงจากเอสโตรเจน เช่น คลื่นไส้ มึนหัว ตัวบวม ควรเลือกยาที่มีปริมาณเอสโตรเจนต่ำ เช่น Meliane, Yaz, Mercilon
- ผู้ที่มีปัญหาสิว หน้ามัน หรือขนดก อาจเลือกใช้ยาที่มีส่วนผสมของ cyproterone acetate หรือ drospirenone เช่น Diane-35, Sucee, Preme, Yasmin, Tina, Belala และ Yaz
- ถ้าเป็นสิวรุนแรงแนะนำ Diane-35, Sucee, Tina, Preme
- ผู้ที่กังวลเรื่องน้ำหนักตัวและมีปัญหาสิวไม่มาก อาจพิจารณายาที่มีส่วนประกอบของ drospirenone เช่น Yaz, Synfonia, Yasmin
- ผู้ที่มีอาการแปรปรวนทางอารมณ์ก่อนมีประจำเดือน อาจเลือกใช้ยาสูตร 24/4 แนะนำให้รับประทาน YAZ, Synfonia
- สำหรับมารดาที่ให้นมบุตรควรใช้ยาที่มีเฉพาะโปรเจสตินเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอในการรับประทานยา และควรตระหนักว่าการรับประทานยาคุมมักมีผลข้างเคียง จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ยา
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของยาคุมลดสิว
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะในช่วงแรกของการใช้ยา
- น้ำหนักตัวอาจเปลี่ยนแปลง
- เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่
- อาจมีผลต่อความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด
- อารมณ์แปรปรวนหรือซึมเศร้า
- เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการใช้ยาคุมลดสิว
- ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือดอุดตัน หรือมีความเสี่ยงสูง
- สตรีที่มีอายุมากกว่า 35 ปีและสูบบุหรี่
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งปากมดลูก
- สตรีให้นมบุตร หรืออยู่ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด
- ผู้ที่มีโรคตับ หรือการทำงานของตับผิดปกติ
- ผู้ที่มีไมเกรนชนิดรุนแรง
- ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของยาคุมกำเนิด
ทางเลือกอื่น ๆ ในการรักษาสิว

วิธีรักษาสิวในปัจจุบันมีหลากหลายทางเลือก โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาคุมกำเนิดเพียงอย่างเดียว ที่ Dr. NAT Clinic เราได้พัฒนาโปรแกรมรักษาสิว Acclear ซึ่งเป็นการรักษาสิวด้วยเทคโนโลยีสองรูปแบบ ได้แก่ เทคโนโลยี Long Pulse Diode 1450 ซึ่งเป็นเลเซอร์ชนิดพิเศษที่สามารถส่งพลังงานเจาะลึกลงไปถึงชั้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังเพื่อควบคุมการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป และสามารถรักษาสิวในระยะเริ่มต้นที่ยังมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และเทคโนโลยี Monopolar RF หรือคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ทำให้สามารถรักษาได้อย่างแม่นยำเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ ช่วยทำให้ต่อมไขมันฝ่อตัวลงและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ
นวัตกรรมนี้มีข้อดีที่คือสามารถรักษาสิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและฟื้นตัวได้รวดเร็ว จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรังที่รักษายาก หรือมีสิวกลับมาเป็นซ้ำบ่อยครั้ง
นอกจากนี้ เรายังมีโปรแกรมรักษารอยสิว DAS (Double Advance Skin Stimulator) สำหรับการรักษารอยสิวโดยเฉพาะ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากสิว
สรุปบทความ
การใช้ยาคุมลดสิวอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษา แต่ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับทุกคน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจใช้ยา ที่ Dr. NAT Clinic เรามีทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาสิว พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยวิเคราะห์และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ หากคุณกำลังประสบปัญหาสิวฮอร์โมนขึ้นผิดปกติ หรือกำลังมองหาวิธีรักษาสิว Dr. NAT Clinic พร้อมดูแลคุณ เพื่อให้คุณกลับมามั่นใจกับผิวที่สวยใสอีกครั้ง สามารถปรึกษาหมอแนทที่ Line : @doctornat หรือโทร. 097-9749944 ได้เลยค่ะ
คำถามที่พบบ่อย
เรารวบรวมคำถามที่หลายคนมักจะสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาคุมลดสิว ดังนี้
1. ยาคุมลดสิว กินยังไง
การรับประทานยาคุมลดสิวต้องทำอย่างสม่ำเสมอในเวลาเดียวกันทุกวัน โดยทั่วไปยาคุมจะมีแผงละ 21 หรือ 28 เม็ด ควรเริ่มทานในวันที่ 1-5 ของรอบเดือน และรับประทานต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
2. ยาคุมลดสิว รักษาสิวได้จริงไหม?
ยาคุมสามารถช่วยลดสิวได้ในผู้ที่มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะสิวที่เกิดในช่วงมีประจำเดือน อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล และควรใช้ร่วมกับการดูแลผิวที่เหมาะสม
3. กินยาคุมลดสิว กี่เดือนถึงเห็นผล?
โดยทั่วไปต้องใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน บางรายอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าหรือช้ากว่านี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของสิว ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตามที่แพทย์แนะนำ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เสียงตัดพังผืด สัญญาณแห่งการปลดล็อคหลุมสิว
ทำไมเสียงตัดพังผืด จึงเป็นสัญญาณแห่งการเปลี่ยนชีวิต ด้วย MASS Advanced เทคนิคตัดพังผืดหลายชั้น ฟื้นฟูผิว คืนความมั่นใจ
10 ปีแห่งความทุกข์จากฝ้า… จบที่ Doctor NAT Clinic
เรื่องจริงจากแม่บ้านโคราชที่ต่อสู้กับฝ้ามา 10 ปี ผ่านการรักษามานับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยได้ผล จนได้พบ Doctor NAT Clinic
ความเชื่อผิดๆ เรื่องสิวอาจทำให้เกิดหลุมสิวถาวร
สิวอักเสบที่ปล่อยไว้โดยไม่รักษา เสี่ยงกลายเป็นหลุมสิวลึกถาวร เคสจริง “คุณอ่ำ” จบปัญหาหลุมสิว 10 ปี ด้วย MASS Advanced ที่ Doctor NAT Clinic




