
หลายคนคงสงสัยว่าฝ้าเลือดคืออะไร เกิดจากอะไร แล้วรักษาให้หายได้ไหม ในบทความนี้ หมอแนทได้ทำสรุปมาให้ พร้อมวิธีการรักษาและการดูแลป้องกันค่ะ
ฝ้าเลือดคืออะไร
ฝ้าเลือด หรือ ฝ้าแดง ทางการแพทย์เรียกว่า Vascular Melasma หรือ Telangiectatic Melasma หรือ Melasma with vascular component จัดเป็นฝ้าที่รักษายาก พบในเพศหญิงได้มากกว่าเพศชายถึง 80%
ฝ้าเลือดจะคล้ำขึ้นจากฝ้าด้วยกันเอง เพราะเมื่อเป็นฝ้า เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังจะเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติ เส้นเลือดฝอยเหล่านี้จะส่งสัญญาณไปกระตุ้นเซลล์เม็ดสี (Melanocytes) ให้ผลิตเม็ดสี (Melanin pigment) มากขึ้น


ฝ้าเลือดเกิดจากอะไร
ฝ้าเลือด เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า เนื่องจากผิวหนังรับรังสีอัลตราไวโอเล็ตจากแสงแดดเป็นเวลานาน บริเวณที่พบฝ้าเลือดได้มากที่สุดคือบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก
นอกจากนี้ ฝ้าเลือดเกิดจากการใช้เครื่องสำอาง หรือยา ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ไฮโดรควิโนน สารปรอท หรือครีมที่ใช้คำโฆษณาขาวเร็วใน 3 วัน ซึ่งทำให้เส้นเลือดฝอยแตกและมีเลือดกระจุกบริเวณพังผืดใต้ผิวหนังชั้นลึก โดยฝ้าจะมีสีน้ำตาลแดง


การดูแลฝ้าเลือดในปัจจุบัน
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดด สม่ำเสมอ เป็นประจำทุกวัน ถึงแม้จะอยู่ในร่มก็ควรทาค่ะและต้องมีอุปกรณ์เสริม เช่น ร่ม หมวก อาหารบำรุงผิว
- หยุดใช้ครีมที่มีสารไฮโดรควิโนนและสารสเตียรอยด์ ที่มักอยู่ในครีมหน้าขาวต่างๆ ซึ่งมักไม่รับการรับรองจาก อย. ครีมเหล่านี้ทำให้ผิวบางลง ไวต่อแสงได้ง่าย ส่งผลให้เกิดฝ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น
- ทาครีมรักษาฝ้าที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและบำรุงเซลล์ผิว ซึ่งควรใช้แบบที่ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ เช่น กลุ่มแคโรทีนอยด์ Vitamin C หรือ E ก็จะช่วยปรับสีผิวโดยรอบให้รอยฝ้าค่อยๆ จางลงได้
- การใช้เวชสำอางที่ช่วยลดเม็ดสีโดยไม่ทำให้เกิดเส้นเลือดขยาย เช่น Arbutin, Kojic acid , Thiamidol, Niacinamide, Tranexamic acid เป็นต้น
- ทามอยเจอไรเซอร์บำรุงผิว โดยเฉพาะที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผิวเนื่องจากฝ้าเลือดมักจะมีเกราะป้องกันผิวที่เสียไปทำให้มีโอกาสแดงได้มากขึ้น
- การใช้ยารับประทานแนะนำปรึกษาแพทย์ก่อน
- การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์/แสง เช่น IPL, QsNDYAG, Fractional Laser, Picosecond Laser เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะมีความแม่นยำและรักษาได้ตรงจุด


วิธีรักษาฝ้าเลือดด้วยเลเซอร์
- การทำเลเซอร์จะอาศัยหลักการปล่อยพลังงานความร้อนไปยังฝ้า เพื่อทำลายเม็ดสีโดยตรง
- จึงเป็นผลทำให้ผิวบริเวณที่ทำ เลเซอร์นั้นไวต่อแสง หลังทำในช่วง 2-4 สัปดาห์ห้ามโดนแดด งดใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบ ของกรดหรือใช้สครับเพราะจะทำให้ เกิดอาการอักเสบได้ง่าย
- การใช้เลเซอร์รักษา ต้องดูแลผิวให้ดี เพราะในช่วงแรง ผิวจะค่อนข้างเซนซิทีฟ
- การใช้เลเซอร์รักษาฝ้าเลือด ต้องระมัดระวังในคนไข้ที่มีสีผิวเข้มเพราะมีโอกาส ทำให้เกิดฝ้าเข้มมากขึ้นได้
อ้างอิงข้อมูล : Lueangarun S, Namboonlue C, Tempark T. Postinflammatory and rebound hyperpigmentation as a complication after treatment efficacy of telangiectatic melasma with 585 nanometers Q-switched Nd: YAG laser and 4% hydroquinone cream in skin phototypes III-V. J Cosmet Dermatol. 2021 Jun;20(6):1700-1708. doi: 10.1111/jocd.13756
ที่ดอกเตอร์แนทคลินิก เรารักษาฝ้า ด้วยโปรแกรมรักษาฝ้า ไม่ใช้ความร้อน MISS Surgery ตามหลักการในการรักษาฝ้า
- ลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี(melanocyte)
ลด melanocyte hyperactivity หรือลดการทำงานเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินที่การทำงานมากผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า ตัวยาสามารถเข้าสู่ผิวโดยตรง และลงลึกได้ทุกระดับชั้นผิว ทำให้ลดการทำงานของเม็ดสีได้ทั้งฝ้าตื้น ฝ้าลึก และปัญหาเม็ดสีผิดปกติอื่น ๆได้ - เร่งการกำจัดเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน
เมื่อเซลล์ melanocyte ผลิตเม็ดสี melanin ส่วนเกินออกมาแล้ว เม็ดสี melanin จะถูกส่งไปยังเซลล์ keratinocyte ทำให้ผิวหนังกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้นและกลายเป็นรอยโรคฝ้าได้ ดังนั้นจึงต้องเร่งกำจัดเม็ดสีส่วนเกินออกไปจากผิวหนัง ซึ่งการทำเลเซอร์ซึ่งจะทำให้เม็ดสีเมลานินแตกตัวออกเช่นกัน โดยทำให้เม็ดสีเมลานินที่รวมกลุ่มกันอยู่แตกตัวออกเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดเม็ดสีออกได้โดยง่าย แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง หากทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผิวหนังมากเกินไปอาจจะทำให้ฝ้าเข้มขึ้นรวมทั้งเกิดรอยดำเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตามโปรแกรม MISS Surgery นี้จะไม่ทำอันตรายกับชั้นผิว ไม่ทำให้ผิวระคายเคืองหรือไวต่อแสงและไม่มีความร้อนไปสะสมใต้ผิว จึงปลอดภัยและลดการเกิดผลข้างเคียงได้ - ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นฝ้า เช่น การเลี่ยงแสงแดด ความร้อน ฮอร์โมนและยาบางชนิด เป็นต้น และการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของฝ้าโดยการแก้ไขที่ผิวหนังชั้น dermis หรือชั้นหนังแท้นั่นเอง ยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase enzyme ซึ่งเป็นเอนไซม์การสร้างเม็ดสี ไม่ให้ไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ที่อาจจะทำให้มีความผิดปกติได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงลดการทำงานของ VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) ที่เป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัวและเพิ่มกระบวนการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของฝ้าและเส้นเลือดฝอยบนใบหน้าตามมา นอกจากนั้นยังลดการอักเสบผิวและยับยั้งการเกิดเส้นเลือดฝอยใหม่ ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้าใหม่ได้ และยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งและช่วยเสริมเกราะคุ้มกันให้ผิวได้อีกทางหนึ่ง
รีวิวการรักษาฝ้าเลือดโปรแกรมรักษาฝ้า ไม่ใช้ความร้อน MISS Surgery

คุณออย มาจากมุกดาหาร เพื่อรักษาฝ้าเลือดโดยเฉพาะ คลิกดูคลิปสัมภาษณ์คุณออย และความรู้เรื่องฝ้าเลือด กับหมอแนท ได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยค่ะ https://fb.watch/ngQd57xCMV/
“ฝ้าเลือด คือ ฝ้าที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยง เกาะกัน เป็นรากแหน ลามอยู่ใต้ผิวหนัง และมีเบสสีแดง”
ฝ้าเลือด เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยบนผิวหน้า ผลมาจากการใช้เครื่องสำอาง หรือยา ที่มีส่วนผสมของเสตียรอยด์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกและมีเลือดกระจุกบริเวณพังผืดใต้ผิวหนังชั้นลึก
หากยังไม่แน่ใจว่า ฝ้าที่อยู่บนหน้า ของคุณเป็นฝ้าชนิดไหน แนะนำให้ตรวจวินิจฉัยชนิดฝ้า เพราะฝ้ามีหลายประเภท การรู้ชนิดของฝ้า จะมีส่วนช่วยในการวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุดค่ะ
คำถามที่พบบ่อย
1. ฝ้าเลือดอันตรายไหม
ฝ้าเลือดไม่ได้ส่งผลกระทบอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย เพียงแค่ทำให้ความสวยงามของผิวพรรณน้อยลง ส่งผลต่อความมั่นใจ แต่ถ้าเลือกใช้ยารักษาฝ้าเลือดผิด หรือใช้ส่วนผสมบางประเภทที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีหรือการผลัดเซลล์ผิว อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
2. ฝ้าเลือดหายเองได้หรือไม่
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าเลือดด้วยตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
3. ใครเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าเลือดบ้าง
ฝ้าเลือดสามารถเกิดได้กับทั้งเพศชายและเพศหญิงอายุช่วง 30-40 ปีขึ้นไป ผู้ที่โดนแสงแดดเป็นประจำ หรือผู้ที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานโดยไม่ทาครีมกันแดดป้องกัน ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าเลือดได้เช่นกัน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ยาคุมลดสิวได้จริงไหม เลือกแบบไหนดี?
ยาคุมลดสิวได้ผลจริงหรือไม่? ทำความเข้าใจวิธีการทำงาน ข้อควรระวัง และทางเลือกในการรักษาสิวที่ปลอดภัย พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ อ่านต่อในบทความนี้
ไขข้อสงสัย เป็นสิวสเตียรอยด์ สิวติดสาร ทำยังไงดี?
สิวสเตียรอยด์และสิวติดสารคืออาการที่เกิดจากการใช้ครีมผิดวิธี เรียนรู้สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาที่ถูกต้องเพื่อให้ผิวกลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง
สิวแพ้ครีมทำยังไงให้หาย?
สิวแพ้ครีมมีลักษณะอย่างไร พร้อมทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาผิวหน้าเสียจากการใช้ครีมไม่เหมาะสม รู้ก่อนรักษาทัน