วิธีลดรอยแผลเป็นจากสิว ทำอย่างไรได้บ้าง?

March, 5 2025

/ By Doctor NAT Clinic

รอยแผลเป็นจากสิวเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน แม้สิวจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่ทิ้งไว้กลับส่งผลต่อความมั่นใจ หลายคนจึงพยายามหาวิธีรักษารอยสิวให้หาย เพราะนอกจากจะต้องรักษาสิวที่กำลังเป็นอยู่แล้ว ยังต้องดูแลรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย บทความนี้ Dr. NAT Clinic จะพาไปดู 5 วิธีลดรอยแผลเป็นจากสิว จะมีวิธีไหนบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยค่ะ

รอยแผลเป็นจากสิว เกิดขึ้นได้อย่างไร

ก่อนอื่น เรามารู้กันก่อนว่าสาเหตุรอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร? รอยแผลจากสิวเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง โดยเฉพาะจากการบีบ แกะ หรือรักษาสิวไม่ถูกวิธี เมื่อสิวหายไป ผิวของเราจะเหลือเป็นร่องรอยไว้บนใบหน้า สิวที่มีการอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวหัวหนอง สิวสเตียรอยด์ มักทิ้งรอยดำ รอยแดงไว้บนผิวอย่างชัดเจน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวกลายเป็นรอยแดงที่คงอยู่เป็นเวลานาน หรือถ้ามีการอักเสบอย่างต่อเนื่องอาจกลายเป็นแผลเป็นหลุมสิวได้

ประเภทของแผลเป็นจากสิว

แผลเป็นจากสิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันไป ดังนี้

  • รอยแดงจากสิว : เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง มีลักษณะเป็นรอยแดงหรือชมพู มักพบหลังสิวยุบตัวลง
  • รอยดำจากสิว : เกิดจากการที่ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปหลังการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นรอยดำหรือรอยคล้ำ
  • Atrophic Scars คือแผลหลุมสิว เช่น
    • หลุมสิวแบบจุดหลุมลึก (Ice Pick Scars) : มีลักษณะเป็นรูเล็กลึก คล้ายรอยเข็มทิ่ม มักพบในบริเวณที่เคยเป็นสิวอักเสบรุนแรง
    • หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar Scars) : มีลักษณะเป็นหลุมกว้าง ขอบชัดเจน คล้ายรอยแผลจากไก่สวัด
    • หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling Scars) : มีลักษณะเป็นหลุมตื้น ๆ กว้าง ทำให้ผิวหน้าดูเป็นคลื่น
  • Hypertrophic หรือ Keloid Scars : มีลักษณะเป็นรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนัง

5 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว

5 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว

การรักษารอยแผลเป็นจากสิวมีหลากหลายวิธี ซึ่งวิธีลดสิวแต่ละแบบเหมาะกับรอยแผลเป็นที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. โปรแกรมลดรอยสิวสร้างเซลล์ผิวใหม่ DAS

โปรแกรมลดรอยสิวสร้างเซลล์ผิวใหม่ DAS ที่ Dr. NAT Clinic

โปรแกรม DAS (Double Advance Skin Stimulator) เป็นนวัตกรรมการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ Dr. NAT Clinic พัฒนาขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการสกัดแยกเซลล์ต้นกำเนิดจากเกล็ดเลือดคุณภาพสูง (Platelets growth factor) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูรอยดำรอยแดงและรอยหลุมสิว

การทำงานของโปรแกรม DAS

โปรแกรม DAS ทำงานโดยการเตรียม Growth Factor จากเซลล์ต้นกำเนิดเกล็ดเลือด โดยสกัดแยกจากเลือดครบส่วน (Whole blood) ด้วยการแยกพลาสมาและเกล็ดเลือดจากเม็ดเลือดแดง เพื่อให้ได้ส่วนประกอบที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ข้อดีของการรักษาด้วยโปรแกรม DAS

  • เป็นวิธีการที่ปลอดภัย เนื่องจากใช้เลือดของผู้รับการรักษาเอง จึงไม่เสี่ยงต่อการแพ้
  • สามารถเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยเฉพาะรอยแดงจะเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ช่วยฟื้นฟูผิวในหลายมิติ ทั้งรอยดำ รอยแดง รอยแผลจากสิว และรูขุมขนกว้าง
  • ผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยแนะนำให้ทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง

กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรม DAS

  • ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังหรือมีประวัติเคยเป็น
  • ผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือสเตียรอยด์
  • ผู้ที่มีโรคทางผิวหนัง
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบเลือดและเกล็ดเลือด
  • ผู้ที่มีโรคตับหรือมีภาวะติดเชื้อรุนแรง
  • ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง (autoimmune)
  • ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น มีไข้ ไอ เป็นหวัด
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะทำหัตถการ
  • สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำโปรแกรม DAS

การทำโปรแกรมรักษารอยดำจากสิว DAS จะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าได้อย่างชัดเจน 

  • บริเวณที่เป็นรอยแดง รอยดำ จะได้รับการฟื้นฟูด้วยเซลล์ผิวใหม่
  • รอยแผลเป็นจากสิวจะจางลง
  • รูขุมขนจะกระชับขึ้น
  • ผิวจะเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น

สำหรับระยะเวลาในการเห็นผล ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก โดยรอยแดงบาง ๆ จะเริ่มจางลง ส่วนรอยที่ฝังลึกอาจต้องใช้เวลาในการสร้างผิวใหม่เพื่อฟื้นฟูมากขึ้น โดยผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แนะนำให้ทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

2. ทาครีมรักษารอยสิว

การเลือกใช้ครีมรักษารอยสิวที่มีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวได้ โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสำคัญ เช่น

  • วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • อาร์บูติน (Arbutin) ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
  • เรตินอล (Retinol) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

3. เลเซอร์รอยสิว 

การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว โดยเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และช่วยปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นหลายประเภท ทั้งรอยแดง รอยดำ และหลุมสิว การรักษาด้วยเลเซอร์ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

4. เติมฟิลเลอร์หลุมสิว

การเติมฟิลเลอร์เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับหลุมสิวที่มีความลึก โดยแพทย์จะฉีดสารฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุมสิว เพื่อยกระดับผิวให้เรียบเนียนขึ้น สารฟิลเลอร์ที่ใช้มักเป็นกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูงและสามารถดูดซึมได้ตามธรรมชาติ

5. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากแพทย์จะสามารถประเมินสภาพผิวและความรุนแรงของรอยแผลเป็นได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำการตัดพังผืดหลุมสิวด้วยวิธี MASS Surgery สำหรับรอยแผลเป็นที่ลึกและรุนแรง ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะที่ช่วยแก้ไขปัญหาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รักษารอยสิวที่ Dr. NAT Clinic

รักษารอยสิวที่ Dr. NAT Clinic

การรักษารอยแผลเป็นจากสิวอาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่หากเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถช่วยให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนสวยงามได้อีกครั้ง ที่สำคัญคือต้องดูแลผิวอย่างต่อเนื่องและป้องกันไม่ให้เกิดสิวซ้ำ เพื่อรักษาผลลัพธ์ที่ดีให้คงอยู่ยาวนานDr. NAT Clinic เป็นคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาปัญหาผิวโดยเฉพาะเรื่องสิว และรอยแผลเป็นจากสิว ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากรีวิวรักษาสิวของผู้ที่เคยเข้ารับการรักษา พบว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ โดยคลินิกมีโปรแกรมการรักษาที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ รอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิว สามารถปรึกษาหมอแนท Dr. NAT Clinic ได้ที่ Line : @doctornat หรือโทร. 097-9749944

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เลือกช่องทางปรึกษาปัญหาผิวได้เลยค่ะ

Facebook Dr. NAT
Line Dr.NAT
เบอร์ Dr. NAT
Tik Tok Dr. NAT