รอยแผลเป็นจากสิวเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน แม้สิวจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่ทิ้งไว้กลับส่งผลต่อความมั่นใจ หลายคนจึงพยายามหาวิธีรักษารอยสิวให้หาย เพราะนอกจากจะต้องรักษาสิวที่กำลังเป็นอยู่แล้ว ยังต้องดูแลรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย บทความนี้ Dr. NAT Clinic จะพาไปดู 5 วิธีลดรอยแผลเป็นจากสิว จะมีวิธีไหนบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยค่ะ
รอยแผลเป็นจากสิว เกิดขึ้นได้อย่างไร
ก่อนอื่น เรามารู้กันก่อนว่าสาเหตุรอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร? รอยแผลจากสิวเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง โดยเฉพาะจากการบีบ แกะ หรือรักษาสิวไม่ถูกวิธี เมื่อสิวหายไป ผิวของเราจะเหลือเป็นร่องรอยไว้บนใบหน้า สิวที่มีการอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวหัวหนอง สิวสเตียรอยด์ มักทิ้งรอยดำ รอยแดงไว้บนผิวอย่างชัดเจน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวกลายเป็นรอยแดงที่คงอยู่เป็นเวลานาน หรือถ้ามีการอักเสบอย่างต่อเนื่องอาจกลายเป็นแผลเป็นหลุมสิวได้
ประเภทของแผลเป็นจากสิว
แผลเป็นจากสิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันไป ดังนี้
- รอยแดงจากสิว : เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง มีลักษณะเป็นรอยแดงหรือชมพู มักพบหลังสิวยุบตัวลง
- รอยดำจากสิว : เกิดจากการที่ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปหลังการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นรอยดำหรือรอยคล้ำ
- Atrophic Scars คือแผลหลุมสิว เช่น
- หลุมสิวแบบจุดหลุมลึก (Ice Pick Scars) : มีลักษณะเป็นรูเล็กลึก คล้ายรอยเข็มทิ่ม มักพบในบริเวณที่เคยเป็นสิวอักเสบรุนแรง
- หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar Scars) : มีลักษณะเป็นหลุมกว้าง ขอบชัดเจน คล้ายรอยแผลจากไก่สวัด
- หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling Scars) : มีลักษณะเป็นหลุมตื้น ๆ กว้าง ทำให้ผิวหน้าดูเป็นคลื่น
- Hypertrophic หรือ Keloid Scars : มีลักษณะเป็นรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนัง
5 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว

การรักษารอยแผลเป็นจากสิวมีหลากหลายวิธี ซึ่งวิธีลดสิวแต่ละแบบเหมาะกับรอยแผลเป็นที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. โปรแกรมลดรอยสิวสร้างเซลล์ผิวใหม่ DAS

โปรแกรม DAS (Double Advance Skin Stimulator) เป็นนวัตกรรมการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ Dr. NAT Clinic พัฒนาขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการสกัดแยกเซลล์ต้นกำเนิดจากเกล็ดเลือดคุณภาพสูง (Platelets growth factor) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูรอยดำรอยแดงและรอยหลุมสิว
การทำงานของโปรแกรม DAS
โปรแกรม DAS ทำงานโดยการเตรียม Growth Factor จากเซลล์ต้นกำเนิดเกล็ดเลือด โดยสกัดแยกจากเลือดครบส่วน (Whole blood) ด้วยการแยกพลาสมาและเกล็ดเลือดจากเม็ดเลือดแดง เพื่อให้ได้ส่วนประกอบที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ข้อดีของการรักษาด้วยโปรแกรม DAS
- เป็นวิธีการที่ปลอดภัย เนื่องจากใช้เลือดของผู้รับการรักษาเอง จึงไม่เสี่ยงต่อการแพ้
- สามารถเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยเฉพาะรอยแดงจะเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด
- ช่วยฟื้นฟูผิวในหลายมิติ ทั้งรอยดำ รอยแดง รอยแผลจากสิว และรูขุมขนกว้าง
- ผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยแนะนำให้ทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง
กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการทำโปรแกรม DAS
- ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังหรือมีประวัติเคยเป็น
- ผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือสเตียรอยด์
- ผู้ที่มีโรคทางผิวหนัง
- ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบเลือดและเกล็ดเลือด
- ผู้ที่มีโรคตับหรือมีภาวะติดเชื้อรุนแรง
- ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง (autoimmune)
- ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น มีไข้ ไอ เป็นหวัด
- ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะทำหัตถการ
- สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำโปรแกรม DAS
การทำโปรแกรมรักษารอยดำจากสิว DAS จะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าได้อย่างชัดเจน
- บริเวณที่เป็นรอยแดง รอยดำ จะได้รับการฟื้นฟูด้วยเซลล์ผิวใหม่
- รอยแผลเป็นจากสิวจะจางลง
- รูขุมขนจะกระชับขึ้น
- ผิวจะเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
สำหรับระยะเวลาในการเห็นผล ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก โดยรอยแดงบาง ๆ จะเริ่มจางลง ส่วนรอยที่ฝังลึกอาจต้องใช้เวลาในการสร้างผิวใหม่เพื่อฟื้นฟูมากขึ้น โดยผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แนะนำให้ทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
2. ทาครีมรักษารอยสิว
การเลือกใช้ครีมรักษารอยสิวที่มีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวได้ โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสำคัญ เช่น
- วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- อาร์บูติน (Arbutin) ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
- เรตินอล (Retinol) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
3. เลเซอร์รอยสิว
การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว โดยเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และช่วยปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นหลายประเภท ทั้งรอยแดง รอยดำ และหลุมสิว การรักษาด้วยเลเซอร์ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
4. เติมฟิลเลอร์หลุมสิว
การเติมฟิลเลอร์เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับหลุมสิวที่มีความลึก โดยแพทย์จะฉีดสารฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุมสิว เพื่อยกระดับผิวให้เรียบเนียนขึ้น สารฟิลเลอร์ที่ใช้มักเป็นกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูงและสามารถดูดซึมได้ตามธรรมชาติ
5. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากแพทย์จะสามารถประเมินสภาพผิวและความรุนแรงของรอยแผลเป็นได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำการตัดพังผืดหลุมสิวด้วยวิธี MASS Surgery สำหรับรอยแผลเป็นที่ลึกและรุนแรง ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะที่ช่วยแก้ไขปัญหาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รักษารอยสิวที่ Dr. NAT Clinic

การรักษารอยแผลเป็นจากสิวอาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่หากเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถช่วยให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนสวยงามได้อีกครั้ง ที่สำคัญคือต้องดูแลผิวอย่างต่อเนื่องและป้องกันไม่ให้เกิดสิวซ้ำ เพื่อรักษาผลลัพธ์ที่ดีให้คงอยู่ยาวนานDr. NAT Clinic เป็นคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาปัญหาผิวโดยเฉพาะเรื่องสิว และรอยแผลเป็นจากสิว ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากรีวิวรักษาสิวของผู้ที่เคยเข้ารับการรักษา พบว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ โดยคลินิกมีโปรแกรมการรักษาที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ รอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิว สามารถปรึกษาหมอแนท Dr. NAT Clinic ได้ที่ Line : @doctornat หรือโทร. 097-9749944
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ฝ้าฝังลึก คืออะไร รักษาได้ไหม?
ทำความรู้จัก “ฝ้าฝังลึก” กับหมอแนท — วิเคราะห์ต้นเหตุ วางแผนรักษาอย่างปลอดภัยด้วย โปรแกรมรักษาฝ้าไม่ใช้ความร้อน
IBSA Derma Symposium 2025 อิตาลี เจาะลึกต้นกำเนิดเทคโนโลยี HA และ Bioregeneration
หมอแนทเข้าร่วมงาน EADV Congress 2025 ณ ปารีส ระหว่าง 17–20 ก.ย. เจาะลึกเทรนด์ Holistic Dermatology, การฟื้นฟูผิวแบบ Regenerative, และงานวิจัยล่าสุด
Doctor Nat Clinic กับงาน EADV Congress 2025 ปารีส อัปเดตวิทยาการผิวหนังระดับโลก
หมอแนทเข้าร่วมงาน EADV Congress 2025 ณ ปารีส ระหว่าง 17–20 ก.ย. เจาะลึกเทรนด์ Holistic Dermatology, การฟื้นฟูผิวแบบ Regenerative, และงานวิจัยล่าสุด




