ไม่ทากันแดด เป็นไรไหม ? เสี่ยงฝ้า-ริ้วรอย ผิวพัง

September, 9 2025

/ By Doctor NAT Clinic

หลายคนอาจคิดว่าการไม่ทากันแดดเป็นเรื่องเล็กน้อย โดยเฉพาะในวันที่อยู่แต่ในบ้าน หรือออกไปข้างนอกแค่ไม่นาน แต่รู้หรือไม่ว่า “แสงแดด” และ “รังสี UV” โดยเฉพาะรังสี UVA สามารถทะลุกระจกและส่งผลต่อผิวได้แม้ไม่ได้สัมผัสแสงแดดโดยตรง ซึ่งอาจกระตุ้นการทำงานของเม็ดสีในผิวหนัง และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าหรือผิวหมองคล้ำได้โดยไม่รู้ตัว

ตัวอย่างฝ้าที่ไม่ทากันแดด

ทำไมการทากันแดดจึงสำคัญกว่าที่คิด ?

  • UVA แทรกซึมลึกถึงชั้นหนังแท้ ส่งผลให้คอลลาเจนและอิลาสตินเสื่อม เกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • UVB ทำให้ผิวไหม้ แดง ลอก และเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างเม็ดสีมากขึ้น นำไปสู่การเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
  • UVC มักไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากปกติแล้วจะถูกกรองโดยชั้นบรรยากาศโลก แต่หากได้รับโดยตรงจากแหล่งกำเนิดเทียม เช่น หลอดไฟฆ่าเชื้อ หรือเครื่องอบฆ่าเชื้อ UV อาจทำให้เกิดการไหม้ผิว หรือระคายเคืองได้

ผิวหนังเป็นด่านแรกที่ต้องเผชิญกับแสงแดดโดยตรง ซึ่งในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต หรือ UV ที่เป็นตัวการหลักทำร้ายผิว โดยรังสี UV แบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่

ไม่ทากันแดดจะเป็นไรไหม มีผลเสียอย่างไร ?

การไม่ทากันแดด แม้เพียงไม่กี่นาทีต่อวัน อาจส่งผลเสียต่อผิวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากรังสี UV จากแสงแดดสามารถทำลายโครงสร้างผิวในระดับลึกได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

ผลกระทบระยะสั้น

  • ผิวแห้งตึง ขาดความชุ่มชื้น รังสี UV ทำให้ผิวสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกแห้ง ตึง ไม่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะผิวที่ไม่มีมอยส์เจอไรเซอร์ หรือสารกันแดดปกป้อง 
  • แสบผิว เกิดรอยแดง หรือไหม้ โดยเฉพาะจากรังสี UVB ที่มีพลังงานสูง ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ผิวไหม้แดง ผิวอักเสบ หรือถึงขั้นลอกได้ในผู้ที่ผิวไวต่อแสง
  • ระคายเคืองผิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง ผู้ที่มีผิวไวต่อแสง หรือผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายอาจเกิดอาการคัน ผื่น หรือผิวอักเสบหลังโดนแดดแม้ระยะเวลาไม่นาน

ผลกระทบระยะยาว

  • กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไป
    รังสี UV โดยเฉพาะ UVA และ UVB ทำให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ทำงานมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิด “ฝ้า” (Melasma), กระ (Freckles), และจุดด่างดำตามใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก
  • ผิวคล้ำเสียสะสม สีผิวไม่สม่ำเสมอ
    รังสี UVA ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเม็ดสีผิว และความเสียหายของ DNA ในเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ และไม่เรียบเนียนในระยะยาว
  • เสื่อมของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว
    รังสี UVA ทะลุถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำลายคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสติน ทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และความยืดหยุ่นลดลง ซึ่งสัมพันธ์กับ “ริ้วรอยก่อนวัย” (Photoaging)
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง
    รังสี UV เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ผิว ซึ่งอาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนังในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติสัมผัสแสงแดดโดยไม่ป้องกันเป็นเวลานาน

เลือกช่องทางปรึกษาปัญหาผิวได้เลยค่ะ

Facebook Dr. NAT
Line Dr.NAT
เบอร์ Dr. NAT
Tik Tok Dr. NAT

ระวังให้ดี ! ไม่ควรลืมทากันแดดในทุกสถานการณ์

แม้จะไม่ได้ออกแดดจ้าโดยตรง แต่ก็มีโอกาสได้รับรังสี UV อยู่เสมอ ซึ่งต่อไปนี้คือสถานการณ์ที่มักทำให้หลายคนเผลอจนผิวพังโดยไม่รู้ตัว

  • วันที่มีเมฆมากหรือฝนตก รังสี UV ก็สามารถทะลุผ่านเมฆได้ถึง 80%
  • อยู่ในอาคาร หรือสำนักงาน แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ มีส่วนผสมของรังสี UV ทาครีมกันแดดเอาไว้เพื่อช่วยปกป้องผิวจะดีที่สุด 
  • ขับรถนาน จนรังสี UVA สามารถทะลุกระจกได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน
  • ช่วงเช้าและเย็น แม้แดดอ่อน แต่รังสียังมีอยู่ โดยเฉพาะ UVA ที่มีความสม่ำเสมอตลอดวัน

ตอบข้อสงสัย ถ้าเป็นฝ้าแล้ว ทากันแดดช่วยไหม ?

ครีมกันแดดเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าทุกคน เนื่องจาก แม้การทากันแดดจะไม่ได้ช่วยรักษาฝ้าโดยตรง แต่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะรังสี UV คือปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นและลุกลาม ซึ่งการทากันแดดเป็นประจำ จะช่วยชะลอการกลับมาเข้มของฝ้าและช่วยให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ภาพก่อนรักษาฝ้า

การรักษาฝ้ามีกี่วิธี ?

ฝ้า (Melasma) เป็นภาวะความผิดปกติของเม็ดสีผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่และเพศหญิง สาเหตุเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม แสงแดด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการใช้ยาบางชนิด แม้ฝ้าจะรักษาได้ยาก แต่ฝ้าก็สามารถจางลง หรือควบคุมไม่ให้ลุกลามได้ หากเลือกแนวทางการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิว ได้แก่

1. การใช้ยาทาเพื่อลดการสร้างเม็ดสี

ยาทากลุ่มนี้ช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase (ไทโรซิเนส) ซึ่งเป็นตัวเร่งกระบวนการสร้างเม็ดสี เหมาะสำหรับฝ้าตื้น หรือผู้เริ่มเป็นฝ้า ซึ่งต้องใช้เป็นประจำต่อเนื่อง โดยมีตัวอย่างสารที่นิยมใช้ ได้แก่

  • Hydroquinone (2-4%): เป็นสารที่ใช้มาอย่างยาวนานในการรักษาฝ้า มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีโดยตรง
  • Tretinoin และ Corticosteroids (ในสูตรผสม 3 อย่าง หรือ Triple combination): ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลดเม็ดสีและผลัดเซลล์
  • สารอื่นที่มีฤทธิ์อ่อนกว่า เช่น
    • Arbutin  สารสกัดจากพืชที่ออกฤทธิ์คล้ายไฮโดรควิโนน แต่มีความอ่อนโยนกว่า
    • Kojic acid ยับยั้งการผลิตเมลานิน ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส
    • Ascorbic acid (Vitamin C) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความหมองคล้ำ และยับยั้งการสร้างเม็ดสี
    • Niacinamide (Vitamin B3) ยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีสู่เซลล์ผิว และช่วยลดการอักเสบ

กลุ่มยาทานี้มักใช้ต่อเนื่องนานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน และควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคืองหรือภาวะแทรกซ้อน เช่น ผิวบางหรือ Post-inflammatory hyperpigmentation ภาวะรอยดำตามหลังการอักเสบ

2. ยาทากลุ่มผลัดเซลล์ผิว

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้เม็ดสีที่สะสมอยู่ค่อย ๆ หลุดออก โดยเน้นการใช้สารที่มีฤทธิ์ในการผลัดผิวและลดการอุดตัน เช่น กรดผลไม้ (AHA) และ อนุพันธ์ของวิตามิน A (Retinoids) ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและสีผิวสม่ำเสมอขึ้น แต่ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ค่อนข้างแรง ควรระวังคือ อาจทำให้เกิดการระคายเคือง แสบ แห้งลอก และผิวไวต่อแสงแดด จึงควรใช้คู่กับครีมกันแดดเสมอ และหลีกเลี่ยงในหญิงตั้งครรภ์

3. ทรีตเมนต์ผิว

สำหรับผู้ที่มองหาวิธีดูแลฝ้าแบบอ่อนโยน ไม่รบกวนผิวมาก ทรีตเมนต์ผลักวิตามินเข้าสู่ผิวถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเห็นผลได้ดี โดยช่วยให้สารบำรุงซึมลึกและออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยวิธี เช่น 

  • Iontophoresis หรือ Phonophoresis: ช่วยผลักวิตามิน เช่น วิตามิน C, Tranexamic acid เข้าสู่ผิว
  • Microneedling ร่วมกับยา: กระตุ้นการซึมผ่านของยาลดเม็ดสีผ่านผิวหนัง

แม้ว่าวิธีเหล่านี้จะไม่ใช่วิธีรักษาหลัก แต่สามารถใช้ร่วมกับยาทาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดรอยฝ้า

4. เลเซอร์พลังงานความร้อน

การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะผู้ที่มีฝ้าลึก หรือฝ้าที่เป็นมานาน ซึ่งเลเซอร์ เช่น Q-switched Nd:YAG หรือ Pico Lase จะช่วยทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติใต้ผิวหนังอย่างตรงจุด แต่ผิวหลังทำอาจไวต่อแสงมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจมีอาการแดง ร้อน หรือเกิดการระคายเคืองได้ อีกทั้งหากไม่ดูแลและป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด ก็มีความเสี่ยงที่ฝ้าอาจกลับมาเข้มขึ้น (Rebound hyperpigmentation) หรือกลายเป็นฝ้าถาวรได้

ทางเลือกการรักษาฝ้าโดยไม่ใช้ความร้อน จาก ดอกเตอร์แนทคลินิก

แพทย์แนะนำโปรแกรมรักษาปัญหาฝ้า

สำหรับผู้ที่ผิวอาจไวต่อความร้อน การรักษาโดยไม่ใช้เลเซอร์ ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ดอกเตอร์แนทคลินิก จึงได้ออกแบบโปรแกรมที่สามารถรักษาฝ้าโดยไม่ใช้ความร้อน โปรแกรม MISS (Melasma Insight Skin Solution)  สำหรับรักษาฝ้าอย่างแม่นยำ และตรงจุด โดยมีวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลไม่ต้องเดาทางเหมือนการรักษาทั่วไป วิเคราะห์ปัญหาฝ้าทุกชนิดทุกชั้นผิวด้วยโปรแกรม Melasma Lab เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล และฝังตัวยาตามผล Melasma Lab ไปจนถึงการใช้โปรแกรม MISS ที่ช่วยรักษาฝ้าได้อย่างแม่นยำ

เลือกช่องทางปรึกษาปัญหาผิวได้เลยค่ะ

Facebook Dr. NAT
Line Dr.NAT
เบอร์ Dr. NAT
Tik Tok Dr. NAT

โปรแกรม MISS (Melasma Insight Skin Solution) จาก ดอกเตอร์แนทคลินิก เป็นการรักษาฝ้าโดยไม่ใช้ความร้อน ลดความเสี่ยงผิวบาง ผิวไหม้ และระคายเคือง ไม่เลี้ยงไข้  ด้วยหลักการในการรักษา ดังนี้

  • ลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของฝ้า โดยตัวยาจะเข้าสู่ผิวโดยตรงเพื่อลดการทำงานของเม็ดสีได้ทุกระดับชั้นผิว ไม่ว่าจะเป็นฝ้าตื้น หรือฝ้าลึก
  • เร่งการกำจัดเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน ด้วยการทำให้เม็ดสีเมลานินที่รวมกลุ่มกันอยู่แตกตัวออกเป็นอนุภาคขนาดเล็ก ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดเม็ดสีออกได้ง่าย อีกทั้งยังจะไม่ทำอันตรายกับชั้นผิว ผิวไม่ระคายเคือง หรือไวต่อแสงและไม่มีความร้อนไปสะสมใต้ผิว จึงปลอดภัยและลดการเกิดผลข้างเคียงได้
  • ลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ โดยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสี ลดการทำงานของ VEGF ที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเกิดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของฝ้าและเส้นเลือดฝอย นอกจากนี้ ยังช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น เสริมเกราะป้องกันผิวเพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่

 รีวิวโปรแกรม MISS ที่ช่วยรักษาฝ้าโดยไม่ใช้ความร้อน ให้ผลลัพธ์ผิวสม่ำเสมอ ลดการเกิดซ้ำ

ขั้นตอนการรักษาด้วยโปรแกรม MISS รักษาฝ้าไม่ใช้ความร้อน

  1. Scan Before Treat – สแกนฝ้าก่อนรักษา ด้วย Melasma Lab
  2. Prep Skin – เตรียมชั้นผิวก่อนฝังยา
  3. Targeted Deep-Injection – ฝังยาเข้าชั้นผิว เก็บฝ้าตามผล Melasma lab
  4. Micro-Infusion – ผลักยาเคลียร์ฝ้าตื้น
  5. One Session, Triple-Layer Result – รักษาหนึ่งครั้ง เก็บฝ้าครบทุกชั้น

ที่ ดอกเตอร์แนทคลินิก มีทีมแพทย์ที่จะคอยประเมินและออกแบบแผนการรักษาฝ้าเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน ด้วยมาตรฐานการดูแลที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นเหตุของปัญหาจนถึงผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ปรึกษาดอกเตอร์แนทคลินิกที่ Line : @doctornat หรือ โทร. 097-9749944

ข้อมูลอ้างอิง :

  1. ครีมกันแดด จำเป็นแค่ไหนแม้ไม่ได้ออกจากบ้าน. สืบค้นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=303  
  2. The adverse consequences of not using sunscreens. สืบค้นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 จาก https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/ics.12897 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

มีตุ่มนูนแดงบนหน้า อย่าชะล่าใจ ! รีบรู้ทันสาเหตุและวิธีรักษา

พบตุ่มนูนแดง คัน หรือเจ็บบนใบหน้าใช่ไหม ? อย่าปล่อยทิ้งไว้เพียงเพราะคิดว่าจะหายเอง รีบมารู้จักสาเหตุของจุดแดงบนหน้าและวิธีรักษาอย่างถูกต้องก่อนสายไป

ผิวเป็นไต มีหนองสะสม อาจไม่ใช่สิว แต่เป็น “รูขุมขนอักเสบ”

รูขุมขนอักเสบ เป็นไต แถมมีหนองเล็ก ๆ อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือปัจจัยจากภายใน เช็กสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันแผลเป็นที่อาจเกิดขึ้น

 เลือกทรงปากให้เหมาะกับใบหน้ายังไงดี?

รวม 9 ทรงปากสวยยอดฮิต พร้อมเทคนิคเลือกให้เข้ากับรูปหน้า ทั้งสไตล์เกาหลีและสายฝอ เพื่อริมฝีปากสวย ดูเป็นธรรมชาติ ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปดูกันเลย!

เลือกช่องทางปรึกษาปัญหาผิวได้เลยค่ะ

Facebook Dr. NAT
Line Dr.NAT
เบอร์ Dr. NAT
Tik Tok Dr. NAT